Lab 2
การทดลองที่ 2
การเปรียบเทียบคุณลักษณะเครื่องวัด
และการวัดค่าทางไฟฟ้าของ Non-Sinusoidal Signal
อุปกรณ์ประกอบการทดลอง
1) Digital Multimeter (UNI-T รุ่น UT 30C) 1 เครื่อง
3) True RMS Multimeter ยี่ห้อ Metrix รุ่น MX 26 1 เครื่อง
4) True RMS Multimeter ยี่ห้อ Fluke รุ่น 115 1 เครื่อง
5) Digital Oscilloscope แบบ 4channel รุ่น mtx 3354 1 เครื่อง
6) Junction box 1 กล่อง
7) Function generator ยี่ห้อ Instek รุ่น GFG-8020H 1 เครื่อง
8) สาย Probe x1 2 เส้น
1) เพื่อให้นักศึกษารู้จักคุณลักษณะของเครื่องวัดแต่ละประเภท
2) เพื่อให้นักศึกษาสังเกตความแตกต่างในการวัดสัญญาณ Sine และ Non-sine
3) เพื่อให้นักศึกษาได้ ทดสอบความรู้เรื่อง True RMS โดยการวัดแรงดันหลายชนิด และเปรียบเทียบผลการวัดกับทฤษฎี
4) เพื่อให้นักศึกษาได้ สัมผัสการใช้งาน Function Generator
5) เพื่อให้นักศึกษาได้ สัมผัสการใช้งาน Digital Osilloscope
Function Generator
ฟังก์ชันเจนเนอร์เรเตอร์ (Function generator) เป็นเครื่องกำเนิดสัญญาณที่มีการใช้งานอย่างกว้างขวาง เนื่องจากฟังก์ชันเจนเนอร์เรเตอร์สามารถผลิตสัญญาณออกมาหลายรูปแบบให้เลือกตามงานที่ใช้ เช่น สัญญาณรูปคลื่นซายน์ (Sine Wave) สัญญาณรูปคลื่นสี่เหลี่ยม (Square wave) สัญญาณรูปคลื่นสามเหลี่ยม (Triangle ware) สัญญาณรูปคลื่นสัญญาณฟันเลื่อย (Sawtooth wave) สัญญาณรูปคลื่นพัลส์ (Pulse wave) ซึ่งฟังก์ชันเจนเนอร์เรเตอร์สามารถผลิตรูปสัญญาณคลื่นออกมากว้าง ตั้งแต่ความถี่ต่ำไปจนถึงหลายเมกกะเฮิรตซ์ (MHz)
Oscilloscope
ออสซิลโลสโคปเป็นเครื่องมือวัดทางอิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อแสดงรูปสัญญาณทางไฟฟ้า โดยการแสดงข้อมูลที่มีลักษณะเป็นการสองมิติที่มีลักษณะสัญญาณแรงดันที่เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา หัวใจหลักของออสซิลโลสโคปคือหลอดรังสีคาโทด (cathode-ray tube,CRT) ที่ออกแบบเป็นพิเศษประกอบไปด้วยส่วนประกอบหลักๆ คือ ไส้หลอดขั้วคาโทด ขั้วแอโนด เพลต หักเหทางแนวนอน เพลตหักเหทางแนวตั้ง และจอแสดงผลแบบฟลูออเรสเซนต์ เมื่อไส้หลอดถูกจุดจนร้อน อิเล็กตรอนจะหลุดออกมา และถูกเร่งจากแอโนดผ่านการโฟกัส และเพลตหักเหซึ่งสามารถควบคุมทิศทางได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน แล้วจึงตกกระทบจอแสดงผลที่ฉาบไว้ด้วยสารฟอสเฟอร์ (phosphor) ทำให้เกิดแสงขึ้นที่จอสัญญาณที่วัดจะถูกป้อนเข้าทาง Vertical Input โดยจะมีวงจรลดขนาดสัญญาณคือ Vertical Input Attenuator ทำการลดทอนสัญญาณกรณีที่สัญญาณที่ป้อนเข้ามามีค่าสูงเกินไปและอาจถูกขยายให้มีค่าสูงขึ้นเมื่อสัญญาณที่ป้อนเข้ามามีค่าต่ำเกินไป ( ปุ่มปรับค่า Volt / Div ) แล้วจึงถูกส่งเข้าไปที่หลอดภาพ ในขณะเดียวกันสัญญาณนี้ก็จะถูกป้อนเข้าที่ส่วนกำเนิดสัญญาณ Synchronized เพื่อเป็นตัวกำหนดการสร้างสัญญาณ SYNC. แล้วป้อนเข้าสู่ภาคขยายสัญญาณแนวนอน แล้วส่งเข้าหลอดภาพ เพื่อให้ไปสัมพันธ์กับสัญญาณอินพุต ให้ปรากฏภาพที่จอ ในขณะเดียวกันภาคที่รับสัญญาณแนวนอนเข้ามาเพื่อนำมาสัมพันธ์กับสัญญาณแนวตั้ง ( สัญญาณอินพุต ) เพื่อให้เกิดเส้นภาพที่จอ ในกรณีที่ต้องการนำสัญญาณแนวนอนมาใช้ โดยปกติจะไม่ใช้สัญญาณนี้ จะใช้สัญญาณจากภาคกำเนิดสัญญาณฟันเลื่อย มาสัมพันธ์กับสัญญาณอินพุต
การนำออสซิลโลสโคปไปใช้งานจะต้องใช้สายวัด PROBE ซึ่งเป็นอุปกรณ์ประกอบสำหรับเป็นสายที่นำไปต่อกับจุดที่ต้องการวัด มี 2 ชนิดคือ ชนิดใช้วัดกระแส เรียก PROBE กระแส และชนิดใช้วัดแรงดัน เรียก PROBE แรงดัน
สาย PROBE ของออสซิลโลสโคปจะสามารถปรับค่าอิมพีแดนซ์ได้เพื่อให้เหมาะสมกับอิมพีแดนซ์ของออสซิลโลสโคป ถ้าค่านี้ไม่เหมาะสมกันจะทำให้รูปสัญญาณที่วัดได้ที่จอ มีรูปเพี้ยนไป ซึ่งสามารถแสดงรูปและวงจรอิมพีแดนซ์ของสายพร้อมกับรูปสัญญาณที่เพี้ยนไปเมื่อค่าอิมพีแดนซ์นี้ไม่เหมาะสมกัน
True Rms ในสัญญาณที่เห็นกันนั้น หลายคนมักจะเข้าใจว่า สัญญาณ AC นั้น มักจะเป็น Sine wave แต่ในความเป็นจริงนั้น เราแทบจะไม่ได้เห็นสัญญาณแบบ sine เพียวๆเลย เพราะว่า สัญญาณที่เราวัดกันนั้น มักจะมีฮาร์มอนิกปะปนกันมาก ถ้าเราใช้มิเตอร์ธรรมดา มักจะ rectifier ACเป็น sine wave เท่านั้น
ในปัจจุบันสัญญาณที่พบในวงจรไฟฟ้ามีความซับซ้อนมากขึ้น เช่นเป็นสัญญาณ sine ที่ขาดช่วง(นำกระแสไม่เต็มคาบ) ,สัญญาณเป็นรูปคลื่นหัวแตก บ้างก็เป็นสัญญาณที่มีลักษณะไม่ซ้ำเดิม สิ่งเหล่านี้เรียกว่า เกิดความเพี้ยน โดยที่ความเพี้ยนนี้อาจเกิดขึ้นจากแรงดันหรือกระแสก็ได้ หรือไม่ก็เกิดจากความเพี้ยนพร้อมกันทั้งแรงดันและกระแส ผู้ทำการวัดอาจจะไม่ทราบเลยว่าสัญญาณที่กำลังวัดอยู่นั้นเกิดความเพี้ยน เพราะแบบเข็มทั้งหลายของมัลติมิเตอร์จะมีหลักการเดียวกัน คือ ต้องทำการปรับสเกลจากค่าเฉลี่ยที่วัดได้(แต่ก็มีเครื่องวัดบางประเภทที่ตอบสนองค่า RMS โดยตรงแต่ก็พบน้อยกว่าที่ตอบสนองต่อค่าเฉลี่ย) หรือเครื่องวัดแบบตัวเลขเอง บางครั้งค่าที่แสดงได้ก็ยังไม่สอดคล้องกับรูปคลื่นของสัญญาณ ดังนั้นโอกาสที่ผู้วัดจะใช้เครื่องธรรมดา ธรรมดา (โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำพวกที่ตอบสนองต่อค่าเฉลี่ย) วัดสัญญาณที่เพี้ยนไปจากรูปคลื่นsine แล้วนำค่าที่วัดได้ไปใช้งานนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูง ซึ่งก่อให้เกิดความผิดพลาดในการวัด โดยที่ผู้วัดเองอาจไม่ทราบว่าได้เกิดความผิดพลาดขึ้นแล้ว ดังนั้นจะเห็นว่าหากสัญญาณที่ต้องการวัดผิดเพี้ยนไปจากรูปคลื่นSineแล้ว ค่า Form Factorของสัญญาณก็จะแตกต่างออกไป หากนำเครื่องวัดที่ทำการปรับสเกลจากค่าฟอร์มแฟคเตอร์ของสัญญาณSineมาใช้งาน ค่า RMS ที่อ่านได้ก็จะผิดไปทันที
ในด้านทฤษฎีสามารถหาขนาดของสัญญาณที่ต้องการวัดเป็นรูปคลื่น Non sine หรือเป็นรูปคลื่นSineที่เพี้ยนไปได้โดยสัญญาณที่จะวัดนั้นพบว่ามีสัญญาณSineที่มีความถี่อื่นๆปะปนอยู่ด้วยแอมพลิจูดที่ต่างกันไป และเรียกสัญญาณSineที่มีความถี่อื่นๆนี้ว่าฮาร์โมนิก(harmonic) ซึ่งจะมีความถี่เป็นจำนวนเท่าของความถี่มูลฐาน ด้วยแนวคิดนี้เราสามารถหาค่า RMS ของสัญญาณด้วยทฤษฏีการวิเคราะห์ฟูเรียร์(Fourier analysis Fourier Series คือ เป็นคู่มือทางคณิตศาสตร์ ใช้ในการวิเคราะห์หาผลตอบสนองของ ระบบเชิงเส้นที่มีต่อสัญญาณ non - sine periodic function
รูปที่ 2.5 แสดงสัญญาณรูปคลื่นไซน์
รูปคลื่นสัญญาณ
|
สัญญาณที่วัด
|
เครื่องวัด
| |||
เข็มชี้
|
Digital
|
True RMS
|
True RMS
AC+DC
| ||
Sine wave
|
DC (volt)
|
0.3
|
0.32
|
0.315
|
2.74
|
AC (volt)
|
2.9
|
2.7
|
2.713
| ||
Triangle wave
|
DC (volt)
|
0.25
|
0.28
|
0.273
|
2.14
|
AC (volt)
|
2.3
|
2.0
|
2.135
| ||
Square wave
|
DC (volt)
|
0.3
|
0.31
|
0.315
|
3.90
|
AC (volt)
|
4.4
|
4.2
|
3.921
|
สรุปและวิจารณ์ผลการทดลอง
จากผลการทดลองเราสามารถหาค่า VRMS ของเครื่องวัดต่างๆ ได้จาก
รูปคลื่นสัญญาณ
|
เครื่องวัด
| |||
เข็มชี้
|
Digital
|
True RMS
|
True RMS
AC+DC
| |
Sine wave
|
2.92
|
2.72
|
2.731
|
2.73
|
Triangle wave
|
2.31
|
2.02
|
2.152
|
2.14
|
Square wave
|
4.41
|
4.21
|
3.933
|
3.90
|
เครื่องวัดแบบเข็มชี้จะให้ค่าที่แตกต่างจากเครรื่องวัดชนิดอื่นค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับ ค่าที่ได้จากเครื่องวัด True RMS AC+DC ซึ่งเป็นผลมาจากเครื่องวัดแบบเข็มชี้นั้นจะวัดได้เฉพาะสัญญาณ DC เมื่อเรานำมาวัดสัญญาณ AC ค่าที่ได้จึงเป็นค่า Vavg ดังนั้น เมื่อเราจะนำค่าที่ได้ไปใช้ก็ต้องคูณด้วย ค่า Form Factor ซึ่งหาได้จาก VRMS/ Vavg จึงจะได้ค่าที่มีความผิดพลาดน้อยลง
เครื่องวัดแบบ Digital และเครื่องวัดแบบ True RMS จะให้ค่าที่ใกล้คียงกับค่า VRMS มากกว่าเครื่องวัดแบบเข็มชี้ค่าที่ได้จากสเกลจึงต้องนำมาคำนวณในสูตรก่อน
เครื่องวัดแบบ True RMS AC+DC จะให้ค่าที่ใกล้เคียงกับค่าที่ถูกต้องมากที่สุด
0 Response to "Lab 2"
แสดงความคิดเห็น